เมื่อเจริญสติแบบพุทธ ถึงจุดหนึ่งคุณจะเห็นจิตเป็นวัตถุ ดูจากที่จิตไม่อาจคงสภาพ แต่ถูกกระทำให้เป็นไปต่าง ๆ ได้ แปรความรู้สึกในตัวตนไปต่าง ๆ ได้
เช่น เข้าไปในสถานที่ร่มรื่น ปลอดโปร่ง ก็พร้อมเป็นกุศล สดชื่น เบิกบาน เข้าไปในสถานที่อับทึบ เหม็นเน่ า ก็พร้อมอับเฉา เป็นอกุศล หดหู่ เป็นต้น
และเมื่อมีสติรู้ได้เรื่อย ๆ ว่า จิตไม่ใช่ตัวคุณ คุณจะพบว่า มีทั้ง จิตถูก และ จิตผิ ด
จิตถูก ได้แก่ จิตที่พร้อมผลิตความคิดดี ๆ พูดถูก ทำถูกกับจังหวะและสถานการณ์ ให้ความรู้สึกว่า ใช่แล้ว ชอบแล้ว เป็นตัวของตัวเองดีแล้ว
จิตผิ ด ได้แก่ จิตที่พร้อมผลิตความคิดไม่ดี ไม่เอาไหน พูดไม่ถูก ทำไม่ถูก เหมือนกลายเป็นอีกคน ที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ปล่อยให้สถานการณ์พาไปตลอด
แม้อย ากเปลี่ยนแปลงแก้ไขก็ทำไม่ได้ คล้ายมีอีกคนในตัวเองขัดขืนไว้ ขวางทางไว้
วิธีแปรจิตให้ถูก ในสถานการณ์ที่บีบให้จิตผิ ด ทำได้ด้วยการอาศัยพลังอธิษฐานแบบพุทธ
ประการแรกสุด คุณต้องระอากับจิตแบบเดิม และตกลงกับตัวเองว่าไม่เอาแล้ว แน่วแน่แล้วว่าจะเปลี่ยน พูดง่าย ๆ คือ ต้องขึ้นต้นด้วยความเต็มใจเปลี่ยน
ประการที่สอง ทำจิตให้เบ่งบานเป็นกุศลดว งใหญ่ อาจจะสวดอิติปิโสสัก ๗ จบ ถวายแก้วเสี ยงเป็นพุทธบูชา จนเกิดสมาธิชื่นบานเต็มที่ เมื่อจิตเป็นกุศลใหญ่แล้วค่อยทำข้อต่อไป
ประการที่สาม นึกถึงสถานการณ์ที่ปรุงแต่งจิต ให้เกิดอกุศลเป็นประจำ จนรู้สึกถึง จิตผิ ด ณ ขณะนั้นได้แจ่มชัด แล้วตั้งใจมั่นว่าจะเปลี่ยนจิตผิ ดดังกล่าว แทนที่ด้วยจิตถูก
ดังเช่นจิตที่เป็นกุศลอยู่ในปัจจุบัน ถึงจุดนี้ได้ชื่อว่า ตั้งอธิษฐานเปลี่ยนจิต โดยอาศัยกุศลธรรมเป็นพื้นยืน ไม่ใช่อธิษฐานลอย ๆ กับลมแล้งดังเคย
ความรู้สึกจะเหมือนมีพื้นยืนตั้งมั่นแน่วนิ่ง และเชื่อมั่นว่า จะเป็นไปตามความปรารถนา
ประการที่สี่ สังเกตผลลัพธ์ในชีวิตจริง คือ เมื่อเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดิม ๆ ที่มักจุดชนวนให้เกิดจิตผิ ด
หากพบว่าจิตไม่เพี้ยน ยังมีความตรง เกิดสติชัด มีความเป็นกุศลอยู่แบบสบาย ๆ คล้ายกับจิตหลังสวดมนต์
อีกทั้งพบตัวเองในอีกแบบที่ต่างไป คือ ความคิด คำพูด และการกระทำ เป็นไปในทางดี ทางชอบ ทางใช่ ไม่หลงเป๋ ไขว้เขวไปกับแรงกระทบ จากบุคคลหรือสถานการณ์ดังเคย
นั่นแปลว่าคุณรีเซ็ตจิตสำเร็จแล้ว สำหรับบุคคลหรือสถานการณ์นั้น ๆ